Social Icons

ลิฟท์หน้า บอกลาเหนียงด้วยเครื่อง “Sonoqueen”

Sonoqueen – 80 ช็อต ราคาเพียง 7,900 (จากปกติ 13,000 บาท) Sonoqueen – บุฟเฟ่ ราคาเพียง 39,000 (จากปกติ 59,900 บาท)

MonoLisa Touch

เลเซอร์กระชับจุดซ่อนเร้น MonoLisa Touch ราคาพิเศษ 9,999 บาท จากราคาปกติ 15,000 บาท

“สบายกระเป๋า”

“แพ็คคู่อกอึ๋ม” มาคู่ ก็อึ๋มคู่ในราคาเบาๆ สบายกระเป๋า ด้วยซิลิโคนทรงกลมเกรดA

เลเซอร์ลดฝ้า – กระ ด้วย Medlite

เลเซอร์ลดฝ้า – กระ ด้วย Medlite เครื่องเลเซอร์ที่ปล่อยพลังงานแสงออกมาเพื่อทำให้สัมผัส ผิวใบหน้าเนียนใส ไร้จุดด่างดำ ปาน ลบรอยแผลเป็นด้วย Medlite

วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

'ชัยชนะคือการได้เข้าไปอยู่ในใจคนอื่น' แต๊ก เดอะวอยซ์


เวทีประกวดร้องเพลง เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการแสดงออกของเด็ก เยาวชน และวัยรุ่นทั่วโลกในสมัยนี้ ที่มีใจรักงานวงการบันเทิงและการแสดง และอีกหลายคนที่เลือกใช้ช่องทางนี้เป็นใบเบิกทาง เพื่อเดินตามความฝันที่ตัวเองวางไว้ แต่ "ที่ 1" ในเวทีประกวดมีเพียงคนเดียวที่จะได้ครอบครอง จึงไม่แปลกที่ในแต่ละเวที แต่ละปี จะมีคนผิดหวังเป็นจำนวนมาก หลายคนท้อแท้ หมดหวัง แต่อีกหลายคนกลับฮึดสู้ แม้จะรู้ว่าปลายทางสุดท้ายจะไม่ได้ตำแหน่งที่ 1 มาครองก็ตาม

"วิชยะ วงศุริยัน" หรือ "แต๊ก" เด็กหนุ่มวัย 23 ปี เป็นอีกหนึ่งคนที่อยากเดินตามฝันของตัวเองที่อยากเป็นนักร้อง จึงตัดสินใจเข้าประกวดร้องเพลงในรายการดังรายการหนึ่ง The Voice Thailand "แต๊ก" เล่าให้เราฟังว่า “ผมเป็นเด็กเรียนค่อนข้างโอเค ชอบเรียนภาษาต่างประเทศ ตอนขึ้นชั้นมัธยศึกษาตอนปลายจึงเลือกเรียนสายศิลป์เอกภาษาจีน แต่ก็มีใจรักด้านดนตรี จึงเลือกสอบเข้าดุริยางค์ศิลป์ที่ ม.มหิดล แต่ปรากฎว่าสอบไม่ผ่าน จึงหันมาเรียนเอกภาษาอังกฤษแทน ตั้งแต่เด็กชอบร้องเพลง จึงเดินสายประกวดร้องเพลงในเวทีต่างๆมาตั้งแต่ช่วงม.ต้น ชนะบ้าง แพ้บ้าง สลับกันไป ช่วงนั้นมีโอกาสได้ดูรายการแข่งร้องเพลงของต่างประเทศรายการหนึ่ง ชื่นชอบมาก เพราะกรรมการฟังแต่เสียงคนร้อง เราก็คิดว่า เอ่อ เหมาะกับเรานะ เพราะแม้เราจะมีน้ำเสียงพอใช้ แต่รูปร่างเราค่อนข้างอวบ หากแข่งกันที่รูปร่างก็คงแพ้ตั้งแต่รอบคัดเลือก”

จากนั้น "แต๊ก" ก็เฝ้ารอมาตลอดว่า จะมีผู้จัดหรือช่องโทรทัศน์ของไทยนำเข้ารายการนี้มาที่ประเทศไทยบ้างหรือไม่ ติดตามข่าวมาโดยตลอด จนกระทั่งทราบข่าว จึงรีบเข้ามาสมัครทันที และพยายามเตรียมตัวเยอะมาก หาแนวเพลง เปิดเพลงฟังมากกว่าเดิมจากปกติที่ฟังมากอยู่แล้ว โดยดึงประสบการณ์เคยไปเรียนร้องเพลงมาใช้ฝึกฝนตัวเอง

“การมาสมัครครั้งนี้ใช้คำว่า 'หวัง' แต่ไม่ได้ 'คาดหวัง' แค่หวังให้ผ่านเป็นรอบๆ หวังว่าโค้ชในใจเราจะหันมา พอเข้ารอบก็หวังแต่ว่า เราจะทำให้ดีๆ แต่ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ที่ 1 ขอแค่ได้มีโอกาสนำเสนอสิ่งที่เป็นตัวตนของเรา แค่พิธีกรที่เราชื่นชอบเลือกเรา ก็พอแล้ว ซึ่งก็เป็นอย่างที่หวังและคาดหวัง เมื่อคณะกรรมการทั้ง 4 ท่านกดเลือกเรา ส่วนที่เลือกพี่เจนนิเฟอร์ คิ้ม เป็นโค้ช เพราะเราติดตามงานของพี่คิ้มมาโดยตลอด รู้สึกว่าเรากับพี่คิ้มมีอะไรคล้ายๆกัน เรียนศิลป์ภาษาเหมือนกัน พี่คิ้มเป็นนักร้องประกวดมาก่อน สัญชาตญาณมันสั่งให้เลือก”

ช่วงที่ผ่านการคัดเลือก "แต๊ก" ยังเรียนอยู่ปี 4 รู้สึกว่าตังเองยังเด็กมาก ไม่ได้คิดอะไรเลย คิดแต่ว่าต้องร้องให้ดีที่สุด รายการนี้ตัดสินกันที่เสียง เราก็พยายามใช้เสียง เน้นคุณภาพเสียง ช่วงฝึกอบรม พี่คิ้มสอนทุกอย่าง ตั้งแต่การร้องเพลง การวางตัว ทัศนคติ ไกด์การร้องเพลง ส่วนการเลือกเพลงทีมเราจะปรึกษากัน

“สุดท้ายเราก็ไปได้แค่รอบ 8 คนสุดท้าย วันนั้นกดดันมาก แต่จริงๆ แล้วด้วยการที่รายการเน้นความชื่นชอบจากคนดูเป็นเกณฑ์ตัดสิน ทำให้พอจะเดาทางได้ล่วงหน้าว่า ตัวเองคงไม่ผ่านรอบนี้ เราก็รู้แล้วว่าอนาคตจะออกมายังไง เพราะน้องที่ร้องแข่งกับเราในวันนั้น ฐานคะแนนเสียงโหวตของเขาค่อนข้างแน่น เราก็หวังแค่ว่าจะร้องยังไงให้คนจดจำ วันนั้นจึงเลือกเพลง skyfal lพี่คิ้มบอกว่ากลับไปที่แก่นแท้จริงของรายการดีกว่า คือรายการที่ฟังเสียง”

วินาทีที่รู้ว่าตัวเองไม่ได้...รู้สึกวูบ แต่ไม่เสียใจ เพราะเราคิดอยู่แล้วว่าเราไม่ได้ แต่ก็คิดว่า “ไม่เป็นไร” เพราะน้องที่ผ่านเข้ารอบไป เขาเก่งมาก ตอนนั้นเราไม่ได้คิดแข่งขันเอาชนะอย่างเอาเป็นเอาตาย ใครจะผ่านเข้าไป เราก็รู้สึกโอเค เพราะเป็นตัวแทนของทีมเรา

แม้จะพลาดจากที่ "หวัง" ไว้ แต่ "แต๊ก" กลับมองเห็นอีกด้านของชีวิต "แต๊ก" บอกว่า ปลายทางมันสำคัญ มันไม่สำคัญที่ระหว่างทางที่เราเดินไป บางคนถึงปลายทาง แต่ระหว่างทางไม่ได้เก็บเกี่ยวอะไร ปลายทางของแต่ละคนไม่เท่ากัน จึงบอกตัวเองเสมอ แม้ระหว่างทางของเราจะเจ็บ จะมีน้ำตา แต่เราต้องสู้ต่อไป

“วันนี้ไม่เสียดายที่ไม่ได้ที่ 1 เราประกวดมาหลายเวที ทำให้เรารู้ว่า เวลาเราชนะไม่ได้อะไรเลย มีเพียงความยินดีและเสียงหัวเราะ แต่เวลาที่เราแพ้ เราได้มองตัวเอง ได้พัฒนาตัวเอง ได้รู้ว่าเวลาที่เราล้ม มีใครบางที่ยืนอยู่ข้างเรา เวทีการแข่งขันที่ใช้คะแนนโหวตตัดสินแพ้-ชนะ ไม่ได้หมายถึงคนเก่งเท่านั้นจึงจะชนะ แต่ "ชัยชนะ" หมายถึง...การที่คุณเข้าไปอยู่ในใจของคนอื่นมากแค่ไหน...เท่านั้นเอง”

อย่างน้อยเราได้มีโอกาสเดินตามความฝัน เราไม่ได้เดินผิดทาง ทำให้ที่บ้านภูมิใจ ช่วยปลดหนี้สินให้ที่บ้านได้ รู้สึกว่าเราภูมิใจในตัวเองที่ได้ช่วยดูแลครอบครัว อย่างน้อยชีวิตนี้ก็ได้ทำอะไรให้กับครอบครัวแล้ว แต่อีกแง่ก็รู้สึกเสียดาย ถ้าเราได้ฝึกฝนอีกหน่อย เราคงได้เข้ารอบต่อ อนาคตอยากร้องเพลงต่อไป แต่ด้วยความที่เราเป็นลูกคนโต ที่บ้านเสียดายที่เรียนมาอุตส่าห์จบเกียรตินิยมอันดับ 1 เขาก็อยากให้มีอะไรที่มั่นคง เป็นเสาหลักให้กับครอบครัว ซึ่งสักวันหนึ่งเราก็คงต้องเลือกทำเพื่อครอบครัวเป็นหลัก แต่ตอนนี้ขอทางบ้านไว้ว่า ขอเดินตามฝันให้สุดทางก่อน อยากไปให้สุด ตั้งใจไว้ว่าถ้ามีโอกาสจะพัฒนารูปลักษณ์ ลดน้ำหนัก พัฒนาน้ำเสียง เพื่อเตรียมเข้าแข่งขันในเวทีประกวดร้องเพลงอื่นอีกสักครั้ง และระหว่างนี้ก็รับงานอีเวนท์ไปก่อน มีเปิดสอนร้องเพลงบ้าง เพื่อนำเงินไปทำบุญ สอนน้องๆที่มีใจรักในเสียงเพลงเหมือนเรา ให้เขาได้มีโอกาสทำตามฝันของตัวเอง ส่วนเรื่องเซ็นสัญญากับค่ายเพลงนั้น เรารู้สึกว่าหากเซ็นไปแล้วมันเหมือนเป็นการปิดโอกาสของตัวเอง เป็นการจำกัดทางความรู้สึก เรารู้สึกมีความสุขกับการทำฟรีเลนซ์มากกว่า

เส้นทางชีวิตข้างหน้าของชายผู้นี้จะเป็นอย่างไร...จะเดินตามฝันไปถึงไหน...มีเพียง "เขา" ที่รู้ว่า...ปลายทางจะเป็นเช่นไร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

โปรโมชั่นเสริมความงาม SKClinics