
‘นัท’ ยืนหยัดเดินตามฝัน ผันตัวเป็นศิลปินเดี่ยว - คนดังหลังฉาก
การเปลี่ยนแปลงในหน้าที่การงานเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากเจอ เช่นเดียวกับ “นัท-ชาติชาย มานิตยกุล” อดีตนักร้องนำวงเครสเชนโด้ ที่ตัดสินใจลาออกจากวง เจอการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในฐานะศิลปิน ถึงขั้นถอดใจหันหลังให้งานเพลงเพื่อไปทำธุรกิจขายข้าวมันไก่ด้วยเงินก้อนสุดท้ายที่สะสมมา แต่เพราะความรักในการร้องเพลง ทำให้เขาลุกขึ้นก้าวเดินอีกครั้ง วันนี้ “นัท” กลับมาในฐานะศิลปินเดี่ยวสังกัด “วอร์เนอร์ มิวสิค” วันนี้ “ฮันนี่บี” จึงขอนัดแนะเจ้าตัวมาพูดคุยชีวิตตอนนี้ ตลอดจนผลงานเพลงที่แฟน ๆ จะได้ฟังเป็นยังไงบ้าง ติดตามกันเลยค่า
จุดเริ่มต้นของการเป็นนักร้อง?
“จริง ๆ ผมไม่ได้จบดนตรีเลย แต่ว่าชอบร้องเพลงอยู่แล้ว และพอดีเป็นรุ่นน้องของพี่ นอ-นรเทพ มาแสง เรียนคณะเดียวกันที่ มศว ตอนเรียนก็มีโอกาสได้เห็นพี่เขาในมหาวิทยาลัยบ้าง จนพี่เขาโด่งดังมีชื่อเสียง ผมเองก็ทำงานดนตรีเหมือนกันแต่ยังไม่มีชื่อเสียงอะไร ก็คือ ทำเพลงอยู่กับค่าย มิวสิค บั๊กส์แล้วพอดีตอนนั้น “วงเครสเชนโด้ ” ขาดนักร้องพอดี คือ พี่บี-พีระพัฒน์ เถรว่อง กับ พี่ริค-วชิรปิลันธ์ โชคเจริญรัตน์ ออกไปแล้ว ก็ได้เจอพี่นอในร้านกาแฟ แกก็เลยเอ่ยปากชวนว่าลองดูมั้ย ตอนแรกผมก็ไม่แน่ใจ แต่พอดีมันมีงานเข้ามาเขาเลยให้ผมไปร้องเลย ผมก็โอเคลองดูก่อน ถ้ามันไหวก็ไปต่อ ถ้ามันไม่ใช่ก็เบรก แต่ไป ๆ
มา ๆ ตอนนั้น สมาชิกทุกคนเขาแฮปปี้กับเราก็เลยอยู่กันยาว ได้ทำอัลบั้ม ออกซิงเกิ้ลที่คนรู้จักกันก็ เพลง ใจกลางความเจ็บปวด, ถ้ายังรัก รวมเวลาทั้งหมดก็ 5 ปี มี 5 อัลบั้มครับ”
แต่ก็ถึงจุดเปลี่ยนลาออกจากการเป็นนักร้องวงเครสเชนโด้?
“จริง ๆ การมีวงที่ดีมันเป็นเรื่องที่ดีที่สุดอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ามันก็มีเรื่องที่แย่ที่สุดเหมือนกัน คือ มุมมองที่แตกต่างกัน จนหาจุดบรรจบไม่เจอ มันก็จำเป็นที่จะต้องแยกย้ายกันทำงาน ตัวผมเองไม่ได้อยากทำงานเดี่ยวนะ แต่พอได้เรียนรู้การมีวงมาแล้ว หลังจากออกมาให้เรากลับไปทำวงอีกก็ไม่อยากทำแล้ว อยากทำอะไรที่เราไม่ต้องไปแชร์กับใครมันก็เลยเป็นความคิดว่าเราอยากทำงานเดี่ยว จากวันที่ออกจากวงห่างหายจากการทำเพลง ประมาณ 2 ปี แต่ระหว่างนั้นเราก็มีทำงานเก็บไว้ ส่วนการร้องเพลงนี้ไม่ได้ห่างหายเลยเพราะยังมีเพลงละครอยู่ตลอดเลยทำให้ไม่ได้รู้สึกว่าเราหายไปไหนครับ”
ตัดสินใจแล้วที่เริ่มต้นใหม่ก็ค่อนข้างยากมั้ย?
“เดินต่อมันยากมาก และเดินคนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องง่าย พอเรากระโดดออกมาแล้ว ก็ไม่ยอมแพ้ ยังหาช่องทาง ในขณะเดียวกันใช้ชีวิตยากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเงินเริ่มหมดครับ คิดว่าจะเอาเงินก้อนสุด ท้ายทำอะไรดี จะไปเปิดร้านข้าวมันไก่ จะย้ายไปต่างจังหวัด เพราะก็มีศิลปินหลายคนที่เอาดนตรีรับใช้จิตวิญญาณ แต่ในขณะเดียวกันก็ทำอาชีพที่เลี้ยงตัวเองได้ แต่พอมาคิดมุมมองเราตีบตันไปหรือเปล่า ทำไมเราต้องกลับไปอยู่จุดเดิม ทำไมเราไม่อยู่บนเวทีที่เป็นเวทีจริง ๆ ความคิดหลากหลายมาก พอเราตัดสินใจเดินกลับมาแล้วทางวอร์เนอร์ มิวสิค เขาสนใจงานเราเลยได้กลับมาทำใหม่ครับ ไม่เสียดายที่ต้องเริ่มใหม่ ถือว่าเป็นโอกาสที่เดินตามฝันที่มีครับ”
ทัศนคติหรือแนวเพลงที่อยากจะทำจริง ๆ เป็นแบบไหน?
“เรื่องแนวเพลง คือ ตอนอยู่วงเดิมมันเป็นร็อกมาก และมันไม่ใช่ไทยร็อก เป็นร็อกออกแนวต่างประเทศ มีความเข้มข้นทางดนตรีสูงมาก ตัวเราเองก็เอาตัวเข้าไปอยู่ในร็อกได้ประมาณนึง แต่จริง ๆ ตัวเราไม่ใช่คนร็อกจ๋า ชอบอะไรป๊อป ๆ พอเราออกจากตรงนั้นมาแล้ว เราก็รู้สึกว่าจะไม่ทำร็อกแล้ว เปลี่ยนแนวทำที่ตัวเองคิดว่าอยากจะทำพูดง่าย ๆ คือ ทำแล้วสบายที่จะร้องคือเป็นป๊อปไปเลย ส่วนทัศนคติในเพลง ผมชอบเพลงเกี่ยวกับความรักครับ”
การกลับมาเป็นนักร้องเดี่ยวต้องเรียนรู้อะไรใหม่?
“สิ่งที่ต้องเรียนรู้ใหม่เลยคือ เรื่องดนตรี เพราะเมื่อก่อนอยู่วงเราไม่ต้องเรียนรู้เรื่องดนตรีมีคนทำให้หมด และเป็นคนที่เก่งมาก แต่พอมาเป็นโปรดิวเซอร์ตัวเองบางทีเราไม่ได้จบด้านดนตรีมา เรามีแต่ความคิดอยู่ในหัวว่าเราอยากได้แบบนี้ แต่เราจะต้องหาทางเอามันออกมาให้ได้ ฉะนั้นเราต้องอาศัยคนที่เข้าใจดนตรี นี่คือสิ่งใหม่ที่ผมต้องเริ่มทำ คือกระบวนการเป็นโปรดิวเซอร์นั่นเอง ต้องจัดว่าใครทำตรงนี้ได้มั้ย เราให้เขาทำได้มั้ย การทำเพลงมีกี่ส่วน จนถึงขั้นตอนการมิกซ์เสียงเลยนะครับ นี่คือสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ใหม่เลยจริง ๆ ครับ มันก็เป็นอะไรที่หนักขึ้นนะ แต่ไม่เหนื่อยเพราะเป็นอะไรที่เราอยากรู้ อยากทำอยู่แล้วครับ”
แล้วซิงเกิ้ลใหม่ที่แฟน ๆ จะได้ฟังเป็นยังไงบ้าง?
“ชื่อเพลง “นับต่อจากนี้” เป็นเพลงป๊อป ฟังง่าย ๆ เลยครับ ตอนนี้มีเอ็มวีแล้วนะ ผมเขียนเนื้อเพลงเอง ดูแลดนตรีเอง เรียกว่ากำกับเองทุกอย่างหมดจริง ๆ ซึ่งมันก็ออกมาได้อย่างที่เราต้องการ เป็นเพลงสมหวัง ๆ ยิ้ม ๆ บางทีที่คุณผ่านช่วงชีวิตแย่ ๆ อาจจะสูญสิ้นศรัทธา แต่เพลงนี้จะบอกว่าคุณต้องเชื่อมัน ถ้าคุณเชื่อ คุณก็จะได้เจอมันครับ”
คาดหวังกับกระแสตอบรับยังไงบ้าง?
“บอกตรง ๆ ไม่คาดหวังอะไร เพราะเราเคยถึงจุดสูงสุดของการเป็นศิลปินไปแล้ว ตอนนี้กลับมาทำเพลงของตัวเอง ก็หวังว่าอาจจะผ่านหูผ่านตาคนฟังบ้าง ได้ยืนอยู่ในฐานะคนทำงานเอง ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องเปรี้ยง ต้องขาย ๆ เราต้องการทำเพลงที่ฟังได้นาน ๆ ไม่ได้กังวลว่ากระแสตอบรับจะไม่ดี ฉะนั้นเราไม่กดดันว่าเพลงจะต้องดังหรือไม่ดัง เรายึดแค่ว่าเราทำออกไปแล้วเราภูมิใจที่ได้ทำออกไปอย่างที่เราคิดจริง ๆ”
ระยะเวลาในการทำงานหรืออยู่ในวงการได้เรียนรู้อะไรบ้าง?
“คือ ถ้ามีความฝันก็ต้องตามให้เจอครับ เมื่อเจอแล้ว ความฝันมันมีอายุ ทุกอย่างมันมีอายุ ถ้าทำอะไรได้ในวันนี้ให้ทำเลย ถ้าอยากสร้างสรรค์ผลงานก็ทำ ไม่รู้ว่าจะได้ออกหรือไม่ได้ออกแต่ทำเก็บไว้ เพราะในอนาคตคุณไม่รู้หรอกว่าคุณจะทำได้อีกหรือเปล่า มันไม่ใช่แค่เรื่องเพลงนะ เรื่องอื่น ๆ ด้วยที่เวลาเราคิดอะไรได้แล้วเราต้องทำเลย ถ้าทุกอย่างมันผ่านไปแล้วมันกลับมาทำไม่ได้แล้ว เรื่องความรักก็เหมือนกัน”
มีอะไรที่บั่นทอนกำลังใจบ้างมั้ย?
“จริง ๆ เลย มันก็เป็นช่วงตอนที่ออกจากวงนั่นแหละ เพราะมันค่อนข้างจะดราม่า แต่ว่าด้วยความที่เราอายุเยอะแล้ว ก็มีภูมิคุ้มกันฉะนั้นก็ผ่านมันไปได้ ไม่ค่อยมีอะไรที่มันทำให้หมดกำลังใจในการทำงาน แม้แต่ตอนแรก ๆ ที่เข้าวงเครสเชนโด้ การที่เราร้องเพลงแล้วคนเดินออก เราคิดแค่ว่าเราจะทำยังไงให้เขากลับมาให้ได้ ไม่ค่อยมีอะไรที่ทำให้เรายอมแพ้ คือ เราไม่ได้อยากเอาชนะใครด้วย เพียงแต่ว่าเรามีจุดมุ่งหมายและเราทำมันให้ได้แค่นั้น”
สุดท้ายฝากอะไรถึงแฟน ๆ ที่ติดตามผลงานอยู่บ้าง?
“ก็ฝากถึงแฟน ๆ ที่ติดตามผลงานว่าให้ติดตามกันต่อไปเพราะเราจะทำออกมาเรื่อย ๆ คุณจะได้ฟังผลงานของผมในฐานะที่ผมเป็นนายของตัวเอง คุณจะไม่รู้สึกว่าผมเป็นหุ่นเชิดของใคร เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมส่งต่อถึงคุณมันคือสิ่งที่ออกมาจากใจ ความรู้สึกนึกคิดของผมจริง ๆ ครับ”
อ่านจบแล้วเราจะเห็นว่าทุกการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ไม่คงอยู่ตลอดไป ตราบที่เราไม่ท้อและพยายาม ซึ่ง “นัท-ชาติชาย” ก็เป็นตัวอย่างที่ดีกับศิลปินคนอื่นๆ ในวงการต่อไปได้อย่างดีจริง.
“ฮันนี่บี”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น